การลุกฮือของชาวนาในอียิปต์ (1069-1071) ภายใต้การปกครองของพระเจ้าฟาติมะและความเสื่อมของอำนาจจักรวรรดิฟาติมิด
ในปี ค.ศ. 1069 อียิปต์ซึ่งเป็นหัวใจของจักรวรรดิฟาติมิด ได้ถูกโหมกระพือด้วยคลื่นแห่งความไม่พอใจจากชาวนาจำนวนมาก การลุกฮือครั้งนี้ซึ่งกินเวลานานกว่าสองปี (1069-1071) นับได้ว่าเป็นการสั่นสะเทือนที่รุนแรงที่สุดในช่วงปลายสมัยฟาติมิด และสะท้อนถึงความไม่สมดุลทางสังคมและเศรษฐกิจ
สาเหตุของการลุกฮือของชาวนาในอียิปต์มีหลายประการ หนึ่งในนั้นคือระบบภาษีที่หนักหน่วงเกินไป ภายใต้การปกครองของพระเจ้าฟาติมะ อิบน์ ซุมไตย์ มุสลิมชิอะ ซึ่งขึ้นครองราชบัลลังก์ในปี ค.ศ. 1048 รัฐบาลได้เพิ่มภาระภาษี lênอย่างมากเพื่อสนับสนุนโครงการก่อสร้างและสงครามของจักรวรรดิ
ชาวนาซึ่งเป็นผู้แบกรับภาระภาษีส่วนใหญ่ ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากนโยบายนี้ พวกเขาต้องจ่ายภาษีที่สูงเกินไป ซึ่งทำให้รายได้ลดลง การเพิ่มขึ้นของภาษียังมาพร้อมกับการบังคับให้ชาวนาปลูกพืชสำหรับรัฐบาล ทำให้พวกเขามีเวลาและทรัพยากรน้อยลงในการดูแลไร่นาของตนเอง
นอกจากนี้ ความไม่สงบภายในจักวรรดิฟาติมิด ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากการแย่งชิงอำนาจและความขัดแย้งทางศาสนา ก็ได้ทำให้สถานการณ์ในอียิปต์ยิ่งแย่ลงไปอีก การลุกฮือของชาวนาถูกมองว่าเป็นผลที่ตามมาของความไม่มั่นคงทางการเมือง
ผลกระทบจากการลุกฮือของชาวนา:
ผลกระทบ | |
---|---|
เศรษฐกิจ | ชาวนาหยุดทำงาน ทำให้การผลิตอาหารลดลง และนำไปสู่ความขาดแคลนสินค้า |
การเมือง | รัฐบาลฟาติมิดถูกท้าทายโดยกลุ่มชาวนา ซึ่งทำให้เกิดความไม่มั่นคงทางการเมือง |
สังคม | ความลุกฮือนี้เปิดเผยความตึงเครียดทางสังคมระหว่างชนชั้นสูงและชนชั้นล่าง |
การลุกฮือของชาวนาในอียิปต์ (1069-1071) ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์จักรวรรดิฟาติมิด การลุกฮือครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบปกครอง และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ
หลังจากที่ชาวนาได้รับชัยชนะเบื้องต้น รัฐบาลฟาติมิดก็ได้พยายามที่จะควบคุมสถานการณ์ด้วยการให้สัญญาและคำมั่นสัญญาต่างๆ แต่ความไม่เชื่อใจระหว่างสองฝ่ายก็ยังคงอยู่
ในที่สุด การลุกฮือของชาวนาในอียิปต์ (1069-1071) ก็สิ้นสุดลงโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ได้ปลูกฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความไม่พอใจและความขัดแย้ง ซึ่งจะรุนแรงขึ้นในช่วงศตวรรษต่อมา
และนำไปสู่การล่มสลายของจักรวรรดิฟาติมิดในที่สุด